ลิเวอร์พูล ภายใต้การนำทัพของ เยอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือชาวเยอรมัน ทำผลงานย่ำแย่หลังแพ้ใน ศึก พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ไปแล้วถึง 6 เกม หลังจากผ่านไปเพียง 19 นัด ซึ่งมันมากกว่าที่พวกเขาพ่ายตลอดทั้งซีซั่นในปี 2018/19, 2019/20 และ 2021/22 เสียอีก
การทำแต้มหล่นเป็นปัญหาอย่างเห็นได้ชัดเจนของ ลิเวอร์พูล ในปีนี้ และมันอาจเป็นเรื่องยากที่จะบอกว่า สาเหตุหลักที่ทำให้พลพรรค “หงส์แดง” ฟอร์มหลุดต่อเนื่องจนกลายเป็นคนละทีมจากการลุ้น 4 แชมป์เมื่อปีที่แล้วคืออะไรกันแน่
ทีมของ คล็อปป์ มีปัญหาทั้งเกมรุก และเกมรับ รวมถึงต้องดิ้นรนอย่างหนักในเอาเอาตัวรอดจากการถูกคู่แข่งไล่เพรสซิ่งตลอดหลายๆเกมที่ผ่านมา ซึ่งบางทีนี่อาจเป็น 5 ปัจจัยที่ทำให้ ลิเวอร์พูล ยังไม่ฟื้น
Brighton & Hove Albion v Liverpool: Emirates FA Cup Fourth Round / Mike Hewitt/GettyImages
1. ฟอร์มของ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์
คนส่วนใหญ่มักพุ่งเป้าไปที่ความสามารถในการเล่นเกมรับของ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ แต่พรสวรรค์ในแนวรุกของเจ้าตัวนั้นไม่มีข้อกังขา อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ ฟูลแบ็ควัย 23 ปี กลับยังไม่สามารถแสดงศักยภาพออกมาได้เต็มที่หลังทำแอสซิสต์ได้
อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เคยทำสถิติแอสซิสต์เป็นเลขสองหลักจาก 3 ใน 4 ฤดูกาลที่ผ่านมา แต่ผลงานของเขาในเวลานี้ที่ดร็อปลงแบบกู่ไม่กลับก็ทำให้ ลิเวอร์พูล ขาดพลังการสร้างสรรค์เกมทางริมเส้นฝั่งขวาไปมากเลยทีเดียว
มันเป็นการบ้านที่ คล็อปป์ และทีมงานของเขาต้องรีบหาทางพา อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ กลับฝั่งโดยเร็วที่สุดในช่วงที่เหลือของซีซั่นนี้
FBL-ENG-FACUP-BRIGHTON-LIVERPOOL / GLYN KIRK/GettyImages
2. ความไม่เด็ดขาดของ ดาร์วิน นูนเญซ
ลิเวอร์พูล ทุ่มเงินมหาศาลถึง 85 ล้านปอนด์ เพื่อคว้าตัว นูนเญซ มาจาก เบนฟิก้า ในช่วงซัมเมอร์ และกองหน้าชาวอุรุกวัยก็ยังไม่สามารถระเบิดฟอร์ระดับมาสเตอร์คลาสได้เลยนับตั้งแต่ตบเท้าเข้ามายังถิ่น แอนฟิลด์
สิ่งที่น่าเหลือเชื่อก็คือ นูนเญซ มีโอกาสง้างเท้าสับไกจากการลงเล่นใน พรีเมียร์ลีก ไปแล้วถึง 56 ครั้ง แต่เขาแปรเปลี่ยนโอกาสเป็นสกอร์เพียงแค่ 5 ลูกเท่านั้น ซึ่งถือได้ว่าค่าเฉลี่ยค่อนข้างน่าเป็นห่วงสำหรับศูนย์หน้า
นูนเญซ เป็นนักเตะที่ยอดเยี่ยม มีพรสวรรค์ และมีคุณสมบัติครบถ้วนที่สามารถพัฒนาไปเป็นหัวหอกระดับโลกได้ แต่ตอนนี้เขาต้องเร่งผลิตประตูเพื่อช่วยเหลือ ลิเวอร์พูล และคลายความกดดันให้กับตัวเอง
FBL-ENG-FACUP-BRIGHTON-LIVERPOOL / GLYN KIRK/GettyImages
3. โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ไม่ใช่คนเดิม
เห็นได้ชัดว่า ตัวรุกชาวอิยิปต์ถูกเปลี่ยนบทบาทไปจากเดิมพอสมควร ซึ่งจากที่เคยเล่นใกล้กรอบเขตกับโทษคู่แข่ง แต่ตอนนี้ ซาล่าห์ ถูกปรับให้ลงต่ำมาชิดริมเส้นฝั่งขวามากขึ้นเพื่อสร้างสรรค์เกม และเปิดพื้นที่ให้นักเตะใหม่อย่าง นูนเญซ เข้าไปเป็นตัวเป้าในการทำประตู
ซาลาห์ ได้โอกาสสัมผัสบอลน้อยลงกว่าเดิมมาก โดยในวัย 30 ปี เขาอาจไม่มีสปีดจัดเหมือนเมื่อก่อนแล้ว และการที่โดนคู่แข่งรับมือด้วยการใช้นักเตะ 2-3 คน มารุมกินโต๊ะนั้น ก็ยิ่งทำให้เขาเจองานยากมากขึ้นไปอีก
นอกจากนี้ การที่ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ฟอร์มตก ก็ยิ่งทำให้การประสานงานของพวกเขาทั้งคู่ไม่ได้โดดเด่นเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว
Liverpool FC v Leicester City – Premier League / Visionhaus/GettyImages
4. อาการบาดเจ็บของผู้เล่น
อาการบาดเจ็บมีส่วนอย่างมากในการเริ่มต้นฤดูกาล 2020/21 ที่ ลิเวอร์พูล ต้องดิ้นนรนอย่างหนักในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าแต่ละเกม และในปีนี้ คล็อปป์ ก็กำลังเจอปัญหาแบบเดียวกัน ซึ่งนอกจากเรื่องสภาพจิตใจแล้วนั้น สภาพร่างกายของแข้ง “หงส์แดง” ก็มีปัญหาเช่นกัน
เวอร์จิล ฟาน ไดจค์, หลุยส์ ดิอาซ, ดิโอโก้ โชต้า, โรแบร์โต้ เฟอร์มิโน่ คือ 4 ผู้เล่นหลักของ ลิเวอร์พูล ที่ไม่สามารถลงสนามได้ ซึ่งสร้างความปวดหัวให้ คล็อปป์ อย่างมากทีเดียว
Liverpool FC v Chelsea FC – Premier League / Laurence Griffiths/GettyImages
5. การทำธุรกิจที่ต้องใช้เวลาพิสูจน์
ลิเวอร์พูล จ่ายเงินราว 45 ล้านปอนด์ คว้าตัว โคดี้ กัคโป มาจาก พีเอสวี ไอนด์โอเฟ่น ในตลาดหน้าหนาวรอบนี้ แต่ดาวยิงทีมชาติฮอลแลนด์ยังไม่สามารถระเบิดฟอร์มเก่งออกมาได้เลยนับตั้งแต่สวมเสื้อ “หงส์แดง”
กัคโป ลงเล่นให้ ลิเวอร์พูล ไปแล้วรวมทุกรายการ 5 เกม และยังยิงไม่ได้เลยแม้แต่ลูกเดียว ซึ่งมันจะยิ่งทวีความกดดันให้กับเจ้าตัวพอสมควร และบางทีเขาอาจต้องใช้เวลาอีกสักพักในการพิสูจน์ตัวเองว่าเป็นการทำธุรกิจที่คุ้มค่าของสโมสร
Source: 90min.com